มาต่อกันด้วยความขัดแย้งของเรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลนาใน [EP.2] กับ KUBET ที่จะมาเฉลยถึงสาเหตุที่แท้จริงของสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งชาติสเปน ที่ลงสนามห้ำหั่นกันในทุกยุคสมัย จากเนื้อหาใน [EP.1] ที่ถูกเปิดเผยให้ได้ทราบกันเบื้องต้นแล้วว่าความขัดแย้งได้เริ่มต้นตั้งแต่ในเรื่องของพื้นที่การปกครอง รวมถึงระบอบทางการเมือง ในส่วนของบทสรุป จะลงเอยกันอย่างไร ไปติดตามกันต่อได้เลย
การแต่งงาน
ในปี 1469 รัชทายาทอารากอนแต่งงานกับพระราชินีของแคว้นกัสติยา ทำให้สองแคว้นรวมเป็นปึกแผ่น ก่อนจะเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่าสเปน เรียกได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองสุดๆของสเปนเลยก็ว่าได้ ประชาชนที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทั้งบาร์เซโลนาและมาดริด จนกระทั่งในปี 1561 มาดริดได้กลายเป็นเมืองหลวงของสเปน
ในปี 1635 – 1659 สเปนเข้าสู่ภาวะสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับสเปนหรือที่เรียกว่า “Franco – Spanish War” นั่นทำให้ประเทศออกกฎหมายที่เรียกว่า “Union of Arms” นั่นคือการเรียกเก็บเงินจากทั้งประเทศเข้ามาอยู่ในพระคลังตรงกลางเพื่อใช้ในช่วงสงคราม นั่นทำให้เกิดความข้องใจขึ้นกับบาร์เซโลนาทันทีก่อนจะเกิดการประท้วงและประเทศแยกดินแดน นั่นทำให้สเปนเผชิญกับสงครามการสืบราชบัลลังก์สเปน ก่อนจะสิ้นสุดสงครามด้วยการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์สเปนคนใหม่ที่มาจากฝรั่งเศส
นั่นทำให้เกิดความขัดแย้งในประเทศทันที เนื่องจากกษัตริย์คนใหม่ต้องการรวบอำนาจของบาร์เซโลนาให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนจะเกิดการบุกของนโปเลียนที่ทำให้เมืองบาร์เซโลนาแตกกระจาย แต่กลับไร้ความช่วยเหลือของฝั่งกษัตริย์คนใหม่ นั่นทำให้เกิดความขัดแย้งที่หนักหนาขึ้นไปอีกขั้น
ในปี 1930 สเปนเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำถึงขีดสุด กระทั่งในปี 1939 นายพลฟรันซิสโก ฟรังโกขึ้นมามีอำนาจในประเทศด้วยการช่วยเหลือของเหล่านาซีเยอรมัน ทำให้สเปนกลายเป็นประเทศเผด็จการเต็มร้อย นั่นทำให้เกิดการปราบพวกบาร์เซโลนาแบบเต็มขั้นตอน รุนแรงไม่เหลือชิ้นดี นั่นทำให้บาร์เซโลนากับสเปน ที่ส่วนใหญ่เป็นมาดริดบาดหมางกันแบบไม่เผาผีกันเลยทีเดียว
ในปี 1975 สเปนเปลี่ยนระบอบการปกครองอีกครั้งเป็นระบอบประชาธิปไตยนั่นทำให้บาร์เซโลนาได้อัตลักษณ์กลับคืนมาอีกครั้ง ทว่าภาษีก็ต้องจ่ายส่วนกลางเพราะถือเป็นชาวสเปนเหมือนกัน นั่นทำให้บาร์เซโลนายังเกิดความไม่พอใจอยู่ดีจนเกิดการทำประชามติขึ้น ที่มีผลส่วนใหญ่ให้บาร์เซโลนาแยกออกไป แต่ผลของการทำประชามติครั้งนี้ รัฐบาลไม่ยอมรับ ก่อให้เกิดการประท้วงทันที ซึ่งก็เป็นการกรีดซ้ำแผลความแค้นลึกลงไปแบบรักษาไม่หายอีกแล้ว
(ติดตามข่าวสารการเคลื่อนไหวของวงการฟุตบอลได้ทางเว็บไซต์ KUBET)
ทีมฟุตบอล
ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเรื่องของทีมฟุตบอลที่ทั้งสเปนและบาร์เซโลนาก็มีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเอง ในปี 1899 บาร์เซโลมีการจัดตั้งทีมฟุตบอลของตัวเองขึ้นชื่อ “บาร์เซโลนา” ทั้งสีเสื้อ ธง และทุกๆอย่างที่บ่งบอกถึงชาติพันธุ์ของตนเองทั้งหมด ในขณะที่สเปนก็มีทีมฟุตบอลของตัวเองเช่นกันนั่นคือ “เรอัล มาดริด” ก่อตั้งในปี 1902 ทีมแห่งความภาคภูมิใจของเมืองมาดริด เมืองหลวงของสเปน
นั่นทำให้มีคำนิยามของทีมที่แตกแยกกันอย่างเห็นได้ชัด เรอัลมาดริดที่เปรียบเหมือนความภาคภูมิใจของประเทศสเปน ขณะเดียวกับ บาร์เซโลนาก็เป็นความภาคภูมิใจและลงสนามในฐานะความยิ่งใหญ่ของเมืองบาร์เซโลนาเช่นกัน นั่นทำให้การแข่งขันฟุตบอลในแต่ละครั้งของสองทีมเต็มไปด้วยการเมือง สงครามและความขัดแย้ง หนึ่งในเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดของศึกสายเลือดคือ “Copa del Generalisimo” ในปี 1943 ทั้งสองทีมได้คิวดวลศึกกัน
ในตอนที่บาร์เซโลนาเปิดบ้านต้อนรับมาดริดพร้อมคว้าชัยไปได้ 3 ประตูต่อ 0 ทว่าในตอนที่มาดริดเปิดบ้านต้อนรับ กลับคว้าชัยไปได้มากถึง 11 ประตูต่อ 1 แน่นอนว่าหากมองย้อนไปถึงการแข่งขันคราวนั้น เกิดเรื่องราวที่ทำให้นอนไม่หลับเยอะมาก ทั้งหารคุกคาม ข่มขู่ โดนโห่ด่ากราด รวมถึงการส่งผู้อิทธิพลมาข่มขู่ถึงในห้องพักนักกีฬา การแข่งขันสุดฉาวที่ทำให้ประธานสโมสรของทั้งสองฝ่ายลาออกจากทีมทันทีหลังจบการแข่งขัน
ในส่วนของนักกีฬาเองก็ถูกควบคุมเช่นกันอย่าง Alfredo Di Stefano ในปี 1952 นักเตะผู้มีฝีเท้าขั้นเทพจนเป็นที่ต้องการของทั้งสองฝั่ง ทว่าเขาเซ็นสัญญาให้กับบาร์เซโลนาก่อนแล้ว ก่อนจะเกิดการแทรกแซงขึ้นภายในทำให้สเตฟาโนจำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริดภายหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้มีนายพลจอมเผด็จการอยู่เบื้องหลัง
สำหรับแฟนบอลของทั้งสองทีมที่จะหยุมหัวกันทุกรอบยกตัวอย่างเช่น Luis Figo นักเตะชาวบาร์เซโลนาที่ย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริดนั่นทำให้เกิดความไม่พอใจของเหล่าแฟนบอลทันที ทั้งสาปแช่ง ใช้คำพูดด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือแม้แต่ โรนัลโด้ นักเตะเรอัล มาดริด กับ เมสซี่ นักเตะบาร์เซโรนา แฟนบอลก็มักจะออกมากล่าวถึงทั้งคู่มีเชิงเปรียบเทียบว่าใครดีกว่า อย่างไรก็ดีนักเตะทั้งสองทีมเป็นเพื่อนกันในปัจจุบัน
และนี่ก็คือเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหมดของเรอัลมาดริด และ บาร์เซโลนาที่ปัจจุบันก็ยังคงมีความแข่งขันกันในเรื่องของศักดิ์ศรีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สำหรับนักฟุตบอลที่ถูกวางให้เป็นหมากในเกมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งดังกล่าว พวกเขายังคงมีมิตรภาพที่ดีให้กับเพื่อนนักกีฬาในสายอาชีพเดียวกันเสมอ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของวงการฟุตบอลได้ทางเว็บไซต์ KUBET