KUBET พาย้อนรอยต้นกำเนิดของกีฬาฟุตบอลที่สร้างความอัศจรรย์ พร้อมเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อย่างการทำสงคราม เรื่องราวปาฏิหาริย์ของการเล่นฟุตบอลที่สามารถหยุดสงครามได้ ในวันแสนวิเศษอย่าง วันคริสต์มาส เรื่องราวจะเป็นมาอย่างไร แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับฟุตบอล ไปติดตามกันได้เลย
ย้อนกลับไปในปี 1914 เหตุการณ์เปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในตอนนั้นคือการเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 1 ” หรือที่รู้จักกันใน “สงครามโลกครั้งแรก” สงครามที่เกิดไปทั่วโลกในวันที่ 28 กรกฎาคม 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน 1918 เหล่าทหารกว่า 70 ล้านนาย รวมฝั่งยุโรปอีก 60 ล้านนาย สงครามครั้งยิ่งใหญ่ และมีปมขัดแย้งรวมถึงความอันตรายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีทหารเสียชีวิตกว่าเก้าล้านคนและพลเรือนกว่า 13 ล้านคน และเหตุของสงครามก็นำมาซึ่งโรคระบาดอีกมากมายอย่างไข้หวัดใหญ่ในสเปน ที่คร่าผู้คนไปมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก
การขัดแย้งกันของประเทศมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตร (นำโดยอังกฤษ) และ ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (นำโดยเยอรมัน) ชนวนความขัดแย้งเกิดจาก กัฟรีโล ปรินซีป ชาวเซิร์บบอร์สเนีย นักชาตินิยมยูโกสลาฟ ได้ลอบปลงพระชนม์ อาร์ชดยุก ฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์ รัชทายาทแห่งออสเตรีย-ฮังการี ในเมืองซาราเยโว ได้นำไปสู่วิกฤตการณ์เดือนกรกฎาคม (ความสัมพันธ์ทางการทูตของทหารท่ามกลางประเทศมหาอำนาจทั่วโลก) ซึ่งสงครามครั้งนี้ฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะไป ถึงอย่างนั้นก็สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายมหาอำนาจกลาง ความแค้นสะสมปะทุอีกครั้งในศึกสงครามครั้งที่โลก 2 ซึ่งคู่ศึกก็คือประเทศมหาอำนาจเจ้าเดิม
ทว่าท่ามกลางสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน ความขัดแย้งของเหล่าผู้มีอำนาจ การสูญเสียของประชาชนภายในประเทศ สถานที่รบของเหล่าทหารจากทั่วโลก เรื่องราวน่าอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นในสนามรบย่อยแห่งหนึ่ง เหตุการณ์เล็กๆที่สามารถยุติและช่วยเหลือชีวิตผู้คนในบริเวณนั้นรวมถึงเหล่าทหารที่ยังเหลืออยู่หลายพันนายให้รอดชีวิตกลับมาได้ รวมถึง การสิ้นสุดซึ่งสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างสมบูรณ์
(ติดตามข่าวสารการเคลื่อนไหวของวงการฟุตบอลได้ทางเว็บไซต์ KUBET )
สงครามโลกครั้งที่ 1
การสู้รบกันระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศส ที่ฝ่ายเยอรมันเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีฝรั่งเศสก่อน พร้อมกับเคลื่อนพลเข้าไปทางประเทศเบลเยียมเพื่อยึดพื้นที่ในกรุงปารีส ทว่ากลับถูกโต้กลับ และถล่มยับมาจากกองกำลังของฝรั่งเศสและอังกฤษ นั่นทำให้เยอรมันถอยทัพไปตั้งหลักที่เทือกเขาเอนวัลเล่ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังคงสู้รบกันอย่างต่อเนื่องหลายเดือน โดยไม่มีฝ่ายใดยอมเลิกรา ซ้ำยังมีการเสริมแนวป้องกันที่มากขึ้นไปในทุกวัน
การขยายแนวป้องกันกว้างขึ้นจึงถึงชายฝั่งทะเล ช่วงเวลาดังกล่าวถูกเรียกว่า “การแข่งขันสู่ทะเล” หรือ Race naar de Zee ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนข้อลงแม้แต่น้อย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงปลายเดือนธันวาคม ในคืน วันคริสต์มาสอีฟ มีเรื่องราวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
สงครามกับวันคริสต์มาส
ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ของเหล่าทหารที่คอยซุ่มยิงกันอยู่ในแต่ละแนวตั้งรับของตน เหตุการณ์ของค่ำคืนนองเลือดยังคงเป็นปกติเหมือนทุกวันที่ผ่านมา กระทั่งเวลาราวเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสอีฟ มีเสียงเพลงดังขึ้นมาจากฝั่งทหารของเยอรมัน เอตั้งใจฟังแล้วก็พบว่าเป็นเพลงวันคริสต์มาส ที่ถูกเปิดเป็นภาษาเยอรมัน นอกจากเสียงเพลงแล้วก็ยังมีแสงเทียนอยู่ตามต้นไม้ ไม่นานเสียงเพลงก็เริ่มดังขึ้นจากฝั่งอังกฤษ สนามรบเริ่มอบอวลไปด้วยเสียงเพลงคริสต์มาส มีการร้องเพลงประสานเสียงกันของเหล่าทหารทั้งสองฝั่ง
กระทั่งแสงแรกในตอนเช้าของวันคริสต์มาสมาถึง ทหารเยอรมันได้ทำการรอดแนวลวดหนามของฝั่งตน พร้อมเดินผ่านแนวรบอย่างระวัง ก่อนจะเดินตรงไปยังแนวรบของฝั่งอังกฤษก่อนจะเริ่มตะโกนทักทายด้วยคำว่า “marry crismistmas” เป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะเริ่มพูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง แม้ว่าในตอนแรกบรรยากาศยังคงอึมครึมเนื่องจากฝ่ายอังกฤษมองว่ามันคือแผนการ ไม่น่าไว้วางใจ แต่ไม่นานเหล่าทหารเยอรมันก็เริ่มเปิดเผยตัวตน พร้อมวางอาวุธของตนลงให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าพวกเขาปราศจากอาวุธแล้ว
(อีกหนึ่งช่องทางการเข้าถึงข่าวสารด้านฟุตบอล โปรแกรมการแข่งขัน ตารางคะแนน การวิเคราะห์ผลบอลก่อนแข่ง รวมถึงประวัตินักเตะดาวรุ่ง หน้าเก่า หน้าใหม่ หรือแม้แต่นักเตะในตำนาน ก็มีให้ศึกษากันแล้วผ่านเว็บไซต์ KUBET เว็บยอดนิยมอันดับ 1 ของประเทศไทย )
ทหารเยอรมันเริ่มทักทายพลางไล่จับมือกับเหล่าทหารอังกฤษไปตามแนวรบดังกล่าว ก่อนทหารทั้งสองฝ่ายจะมีการแลกเปลี่ยนของขวัญกันเล็กๆน้อยๆ ของที่พอจะหาได้ในแถวนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหล้า ผลไม้ ซิก้า เมื่อผู้บัญชาการรับรู้ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เกิดการเจรจากันของเหล่าผู้นำ ก่อนจะตกลงให้มีการหยุดยิง 1 วันในวันคริสต์มาส ข้อตกลงดังกล่าวถูกเรียกว่า “ข้อตกลงพักรบกันในวันคริสต์มาส” ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม 1914 หรือ “Christmas truce of 1914”
“ผมไม่อยากพลาดวันคริสต์มาสแบบใหม่ที่ช่างแปลกประหลาดนี้ ผมได้พบกับนายทหารเยอรมันคนหนึ่งเขาน่าจะยศร้อยโท ผมนำคีมตัดลวดออกมาตัดลวดสองสามเส้นออกพอเป็นช่องเดินผ่านได้ จากนั้นผมก็แลกสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างกัน เรายิ้มให้กัน จากนั้นหนึ่งในพลปืนกลของผมเขาเคยเป็นช่างตัดผมมาก่อน อาสาจะตัดผมให้ทหารเยอรมันคนนี้ ซึ่งทหารเยอรมันก็ยินดี เขานั่งลงกับพื้นอย่างอดทนโดยมีลูกน้องของผมใช้ปัตตาเลี่ยนตัดผมให้เขาอย่างช้า ๆ”
ร้อยตรีบรูซ เบนฟาเธอร์ สังกัด กรมรอยัล วาวิเชอร์ (Royal Warwickshire Regiment)
พื้นที่บริเวณนั้นถูกเรียกว่า “no man’s land” หมายถึง แผ่นดินไม่มีเจ้าของ พวกเขาร่วมทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนอาหารและสิ่งของรวมถึงช่วยกันลำเลียงศพของทหารผู้เสียชีวิตไปทำพิธี และยิ่งไปกว่านั้น กิจกรรมกระชับมิตรที่สำคัญของวันนั้นก็คือ “การเล่นฟุตบอล” โดยการเล่นฟุตบอลคราวนั้นทหารเยอรมันสามารถเอาชนะได้ 3 ประตูต่อ 2 แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถหาลูกฟุตบอลได้ จึงใช้กระดาษที่ปั้นเป็นก้อนๆแทน
หลังจบข้อตกลงพวกเขาไม่ได้ปะทะกันในทันที เหตุการณ์ในวันนั้นถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลก อีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันว่าการสู้รบเป็นเพียงการทำตามหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบและการได้รับการมอบหมายของเหล่าผู้มีอำนาจมาเท่านั้น และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของสงครามที่ได้ดึงการเล่นฟุตบอลเป็นกิจกรรมหนึ่งในการเชื่อมสัมพันธ์กัน สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของวงการฟุตบอล เรื่องราวน่ารู้ โปรแกรมการแข่งขันจากทั่วโลกได้ทางเว็บไซต์ KUBET