เปิดตัวเต็ง 5 ทีม เสือในเอเชีย ในศึกเอเชียน คัพ 2023 มาดู จุดแข็ง จุดอ่อน ของ 5 ทีมชาติที่ดูเหมือนจะแข่งกันอยู่แค่นี้กันครับว่าใครดูจะมีแววในการคว้าถ้วยแชมป์มาครองได้สำเร็จ ใครที่อยากรู้แล้ว ตาม KUBET มาได้เลยครับ
1.) ทีมชาติญี่ปุ่น

ผลงาน : แชมป์ 4 สมัย ในปี 1992 / 2000 / 2004 / 2011
ผลงานปี : 2019 ญี่ปุ่นได้เป็นรองแชมป์ของศึกเอเชียน คัพ
ฟีฟ่า แรงกิ้ง : 20
ทีมชาติญี่ปุ่นไม่ใช่ทีมฟุตบอลที่สำคัญจนกระทั่งปลายปี 1980 โดยทีมฟุตบอลของญี่ปุ่นเป็นเพียงทีมเล็กๆและเป็นมือสมัครเล่นเท่านั้นเพราะในญี่ปุ่นกีฬานี้ได้รับความนิยมน้อยกว่าเบสบอลและซูโม่ แต่หลังจากปี 1990 ญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญกับฟุตบอลมากขึ้นและกลายเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชีย พวกเขาได้ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 7 ครั้งล่าสุด (ผ่านเข้ารอบในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ในฐานะเจ้าภาพร่วมกับเกาหลีใต้)

ด้วยการลงเล่นรอบน็อกเอาต์ในปี 2002, 2010, 2018 และ 2022 และคว้าแชมป์ AFC Asian Cup เป็นประวัติการณ์ถึงสี่ครั้งในปี 1992 , 2000, 2004 และ 2011 นอกจากนี้ทีมยังจบอันดับสองใน 2001 FIFA Confederations Cup และ 2019 AFC Asian Cup อีกด้วย ญี่ปุ่นยังคงเป็นทีมเดียวจาก AFC นอกเหนือจากออสเตรเลียและซาอุดีอาระเบียที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันของ FIFA

ความก้าวหน้าของทีมชาติญี่ปุ่นในช่วงเวลาสั้นๆ ถือเป็นแรงบันดาลใจและตัวอย่างในการพัฒนาฟุตบอล คู่แข่งหลักในทวีปของพวกเขาคือเกาหลีใต้และล่าสุดคือออสเตรเลีย พวกเขายังพัฒนาการแข่งขันกับอิหร่านและซาอุดิอาระเบียด้วย ญี่ปุ่นเป็นทีมแรกจากนอกทวีปอเมริกาที่เข้าร่วมการแข่งขันโคปาอเมริกา โดยได้รับเชิญในปี 1999, 2011, 2015 และ 2019 ของทัวร์นาเมนต์นี้ แม้ว่าพวกเขาจะเล่นเฉพาะในรายการปี 1999 และ 2019 เท่านั้นก็ตาม- BY KUBET

จุดแข็ง : ปัจจุบัน ทีมชาติญี่ปุ่นได้ขยับมาตรฐานของตัวเองไปอยู่ในระดับโลกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสามารถเอาชนะเยอรมัน และ สเปน ได้ในรายการแข่งขัน เวิลด์ คัพ 2022 ซึ่งนั่นก็ แสดงให้เห็นแล้วว่าญี่ปุ่นแข็งแกร่งขนาดไหน นอกจากนี้ ผู้เล่นระดับ เยาวชน ของเขาที่วางระบบเอาไว้ล่วงหน้านับสิบปีก็เริ่มออกดอกออกผลให้เห็นแล้ว ทำให้ เดอะ บลู ซามูไร จะส่งผู้เล่นคนไหนลงสนามก็ยากที่จะเอาชนะเลยทีเดียว
จุดอ่อน : หากต้องหาจุดอ่อนของญี่ปุ่นในการแข่งขัน แทบจะไม่มีข้อด้อยเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันไปถึงกองหน้า พวกเขามามาตรฐานที่สูงมากในแต่ละคน แต่ถ้าจะให้หาจริงๆน่าจะเป็นในเรื่องสภาพจิตใจ คือถ้าเมื่อไหร่ที่ญี่ปุ่นบุกหนักๆแต่ก็ไม่สามารถจบสกอร์ได้สักทีผู้เล่นหลายคนจะท้อ และนี่เป็นจุดอ่อนหลักๆที่ญี่ปุ่นแก้ไม่ตกสักทีจนถึงปัจจุบัน

จุดน่าสนใจ : นับตั้งแต่ที่พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับโคลอมเบีย 1-2 ปูเมื่อมีนาคม 2023 พวกเขาก็ไม่แพ้ใครอีกเลย 10 เกมติด ซึ่งทีมที่พวกเขาชนะมีทั้ง เยอรมัน ตุรกี รวมอยู่ด้วย ซึ่งนั้นมันก็เป็นอะไรที่ว้าวมากๆสำหรับทีม แต่การที่ชนะติดๆกันแบบนี้มันก็จะกดดันในเกมต่อไป ทำให้ญี่ปุ่นอาจจะเพลี่ยงพล้ำคู่แข่งแบบง่ายๆก็เป็นได้
เฮดโค้ช : ฮาจิเมะ โมริยะซุ ผู้จัดการใหญ่ในการคุมทีมชาติญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2018 และเจ้าตัวก็ทำผลงานออกมาได้ดีเลยทีเดียวเพราะเปอร์เซ็นต์ในการชนะนับตั้งแต่เจ้าตัวมาคุมทีมสูงถึง 68.49 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะช่วงหลังๆมานี้เจ้าตัวสั่งให้ลูกทีมบุกแบบไม่ยั้งทำให้สกอร์คะแนนห่างขาดลอยจากทีมอื่นๆไปไกลเกือบทุกนัดที่ลงสนาม

คีย์แมน : คงจะหนีไม่พ้น ตัวเก่งของทีมอย่าง คาโอรุ มิโตมะ ปีกจากสโมสรไบรท์ตัน ที่กลับมาช่วยเสริมทัพให้กับทีมชาติ แต่ไม่ใช่มีเจ้าตัวคนเดียวที่พร้อมจะลงสนามยังมี ทาเคฟูซะ คูโบะ แนวรุกฟอร์มดุจาก เรอัล โซเซียดาด ที่พร้อมจะลงเล่นให้กับทีมชาติอยู่เหมือนกันหรือจะเป็น วาตารุ เอ็นโดะ กองกลางจากสโมสรลิเวอร์พูล ตัวเปลี่ยนเกม (เรียกได้ว่ามีแต่ตัวโหดๆทั้งนั้น)
โอกาสคว้าแชมป์ : เรื่องโอกาสในการคว้าแชมป์ไปครองผมมองว่าถ้าญี่ปุ่นยังคงเล่นฟอร์มเดิมแบบนี้อยู่เชื่อได้เลยว่าทัวร์นาเมนต์นี้ถ้วยแชมป์อยู่ไม่ไกลแน่นอนครับ
จบไปแล้วกับ 1 ทีม นั่นก็คือ ญี่ปุ่นที่มาแรงมากๆในเอเชียตอนนี้ โดยจะมีทีมชาติไหนอีกนั้นตามมาดู EP.2 ได้เลยครับ ส่วนใครที่อยากดูการแข่งขันรายการนี้ ก็สามารถเข้ามาดูได้ที่ KUBET ได้เลยนะครับ