วันนี้เราจะมาต่อจากพาร์ทที่แล้ว กับเรื่องของสงครามฟุตบอลของ2ประเทศ ระหว่างฮอนดูรัสกับเอล ซัลวาดอร์ แม้ว่าจะเกริ่นนาน แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจในความเป็นมา และเนื้อหาระหว่างทางเราก็ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างในอดีต เรื่องราวในพาร์ทนี้จะเป็นอย่างไร KUBET จะพาไปดูกันครับ

ฮอนดูรัส
ในปี 1963 นายพลออสวัลโด โลเปซ อาเรยาโน ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี อาเรยาโนต้องพบกับปัญหาการปกครองและเศรษฐกิจ แม้ว่าเจ้าตัวจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ในปี 1965 และเขาก็ชนะการเลือกตั้งได้ แต่ก็ถูกชาวฮอนดูรัสมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกและได้รับเงินทุนจากยูไนเต็ดฟู้ด ในทางกลับกันถึงแม้ว่าเขาจะได้ฉลองการชนะเลือกตั้ง แต่เศรษฐกิจของประเทศแย่ลงเรื่อยๆจนถึงขั้นวิกฤต และเขาได้มองไปถึงแพะตัวใหม่เพื่อรับกรรมนี้
ปัญหาคอร์รัปชั่นเดิมๆ และการขยายตัวของประชากรที่หนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชาวเอล ซัลวาดอร์ ตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นฐานมากขึ้น รวมจากของเดิมที่มีการอพยพมาอยู่แล้ว กลายเป็นว่ามีประชากรชาวเอล ซัลวาดอร์ที่อาศัยอยู่ในประเทศฮอนดูรัสรวมๆกว่า 3 แสนคน ทำให้คนพื้นเมืองที่นั่นเริ่มไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นการถูกแย่งพื้นที่ทำการเกษตร ลงหลักปักฐานสร้างครอบครัวในประเทศฮอนดูรัส
อาเรยาโนซึ่งเป็นผู้นำของฮอนดูรัส ณ เวลานั้น จึงเล็งใช้ปัญหาตรงนี้ในการปลุกปั้นรวมชาติและโยนปัญหาการบริหารอันห่วยแตกของตัวเองทิ้งไป พร้อมกับบอกว่าปัญหาเหล่านี้มันเป็นเพราะชาวเอล ซัลวาดอร์ที่เข้ามาทำให้พื้นที่ทำกินน้อยลง เศรษฐกิจก็เลยแย่ลง จึงทำให้คนฮอนดูรัสแย่ลงและไม่มีที่ทำกิน ชาวฮอนดูรัสที่ไม่พอใจชาวเอล ซัลวาดอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ได้มีการทำร้ายร่างกายชาวเอล ซัลวาดอร์ที่อพยพมาและได้กลายเป็นระเบิดเวลาของชาวเอล ซัลวาดอร์ที่นับถอยหลังรอวันระเบิด
KUBET สิ่งที่แอดเห็นก่อนจะเข้าเรื่อง เป็นตัวของผู้นำเลยครับ ที่โยนความผิดให้กับประชาชน และให้พวกเขาหันมาเกลียดและทำร้ายกันเอง

ความรุนแรงได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปี 1967 อาเรยาโนร่างกฎหมายของตัวเองฉบับหนึ่งออกมา คือการใช้อำนาจรัฐบาลในการยึดที่ดินของชาวเอล ซัลวาดอร์และแจกคืนให้กับชาวฮอนดูรัส เมื่อเรื่องนี้ถึงหูเฟอร์นานเดซประธานาธิบดีของเอล ซัลวาดอร์ ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงได้เรียกร้อง บัญชีอารยธรรมขึ้นมา แต่ความจริงแล้วเอล ซัลวาดอร์ไม่สามารถรองรับคนอพยพได้ จากปัญหาประชากรที่แออัด ส่วนทางฝั่งฮอนดูรัสได้เริ่มทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ ชาวเอล ซัลวาดอร์หนักขึ้นทุกวัน
ชนวนของความรุนแรง
ปี 1969 ได้มีการคัดตัวแทนฟุตบอลโลก ในโซนคอนคาเคฟ ที่ได้หาตัวแทนไปเตะฟุตบอลโลกในปี 1970 ที่ประเทศเม็กซิโก ได้มีประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 12 ประเทศแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ประเทศ จากนั้นจะเพลย์ออฟแบบเหย้าเยือน จนเหลือ 2 ทีมที่จะได้เข้าร่วมรายการอันยิ่งใหญ่รายการนี้ แต่ประเทศเม็กซิโกสามารถผ่านเข้ารอบได้เลยในฐานะเจ้าภาพ จึงทำให้เหลือโควตาเพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น ที่สามารถผ่านเข้าสู่รอบการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1970 ในโซนคอนคาเคฟ
ทุกประเทศต่างมีฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในตอนนั้น รวมถึงเอล ซัลวาดอร์และฮอนดูรัสก็มีความหลงใหลในกีฬาชนิดนี้ไม่ต่างกัน เมื่อการแข่งขันเกิดขึ้นทั้งเอล ซัลวาดอร์และฮอนดูรัสต่างได้ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม และเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้สำเร็จ แต่เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกเมื่อทั้งสองทีมถูกจับฉลากให้มาเจอกันในรอบ 4 ทีมสุดท้าย ซึ่งเปรียบเสมือนกับสงครามตัวแทนที่เอาชาติของตัวเองเป็นเดิมพัน ทำให้การแข่งขันนัดนี้มันไม่สามารถหาคำอื่นมาทดแทนได้

นัดแรกที่เจอกันระหว่างฮอนดูรัสและเอล ซัลวาดอร์
วันที่ 8 มิถุนายน ปี 1969 การแข่งขันนัดแรกถูกจัดขึ้นที่ประเทศฮอนดูรัส ในวันที่ 7 มิถุนายน การแข่งขันหนึ่งวัน นักเตะทีมชาติชาวเอล ซัลวาดอร์ เดินทางเข้ามาพักในโรงแรมที่ประเทศฮอนดูรัส ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติดี แต่พอตกดึกชาวฮอนดูรัสบางกลุ่มได้ออกมาสร้างความรบกวนที่นักเตะเอล ซัลวาดอร์พักอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการโวยวาย ปาหินใส่โรงแรม
เมื่อถึงเวลาแข่งขันจริง ทีมเอล ซัลวาดอร์ลงไปแข่งขันด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม สุดท้ายพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับฮอนดูรัสไป 1-0 แน่นอนว่าทีมเจ้าบ้านต่างดีใจที่เอาชนะคู่แข่งได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าภายใต้เสียงดีใจของชาวฮอนดูรัส ทำให้อเมเรียแฟนบอลสาวชาวเอล ซัลวาดอร์ ที่ดูการแข่งขันถ่ายทอดสดภายในบ้าน ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองเพราะรับการพ่ายแพ้ครั้งนั้นไม่ได้
ไม่น่าเชื่อว่าเกมกีฬาฟุตบอลจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ เรื่องราวความเข้มข้นยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ติดตามต่อในพาร์ทต่อไปกันได้เลยครับ
KUBET – เว็บไซต์ให้คำปรึกษาข่าวฟุตบอล ข้อมูลฟุตบอลอัปเดตแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณเรียนรู้เกมฟุตบอลล่าสุดและครอบคลุมที่สุด คะแนนฟุตบอล ลีกฟุตบอล สโมสรฟุตบอล และข้อมูลฟุตบอลโลก รวมถึงข้อมูลอื่นๆที่คุณอยากรู้ เช่นประวัติความเป็นมาของสโมสร หรือที่มาที่ไปของโลโก้แต่ละสโมสร โดยไม่ต้องออกจากบ้าน