ต่อจาก EP.1 กับเรื่องของประวัติศาสตร์ ฟุตบอล ที่กลับมาผงาดหลังความล้มเหลว ในอีพีที่แล้วเราได้เขียนถึงทีมยูเวนตุสกับบาร์เซโลน่าไปแล้ว วันนี้จะเป็นเรื่องของทีมไหน ไปอ่านกันต่อได้เลยครับ
ทีมชาติเยอรมัน

ภาพที่หลายคนคุ้นตากับทีมชาติเยอรมันคือทีมที่เล่นฟุตบอลได้เฉียบขาด เป็นระบบ แถมยังเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะที่มีเทคนิคสูงมาก แต่หากลองย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เป็นปีที่ฟุตบอลเยอรมันกำลังพังทลาย
ตอนนั้นในปี 2000 ในฐานะแชมป์ยุโรป ปี 1996 ทีมชาติเยอรมันเข้าร่วมยูโร 2000 ด้วยความคาดหวังสูงมาก แต่วันนั้นกลับจบลงด้วยความอับอาย เพราะว่าเยอรมันตกรอบแบ่งกลุ่มแบบไม่ชนะใคร ได้เพียงแต้มเดียว จาก 3 นัด แพ้โปรตุเกสไป 3-0 จบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม วันนั้นเยอรมันเต็มไปด้วยนักเตะที่หมดไฟ ขาดพลังสร้างสรรค์และแท็กติกที่ล้าหลัง
เกมในวันนั้นเยอรมันเล่นฟุตบอลแบบโบราณ ใช้พละกำลังมากกว่าทักษะ แล้วดูเหมือนว่าไม่ได้พัฒนาอะไรเลยในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาก หลายคนมองว่าตอนนี้ทีมชาติเยอรมันต้องเร่งเปลี่ยนโครงสร้างทั้งระบบก่อนที่มันจะแย่ไปมากกว่านี้
หลังจากความล้มเหลวในยูโรปี 2000 สมาคมฟุตบอลเยอรมันและบุนเดสลีกาก็ร่วมมือกันสร้างโครงการพัฒนาเยาวชนแห่งชาติโดยบังคับให้ทุกสโมสรในบุนเดสลีกาต้องมีศูนย์ฝึกเยาวชนของตัวเอง หากไม่มีศูนย์ฝึกเยาวชน จะไม่ได้รับใบอนุญาตแข่งในบุนเดสลีกา ทำให้ในตอนนี้มีศูนย์ฝึกเยาวชนมากกว่า 52 แห่ง ทั่วประเทศ เยอรมันมีโค้ชฟุตบอลมากกว่า 1,300 คน ที่คอยพัฒนาเด็กๆ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ
หลังจากนั้นเยอรมันก็เปลี่ยนแนวทางการเล่น จากที่เคยใช้แต่พละกำลัง เยอรมันก็เปลี่ยนมาเล่นอย่างเป็นระบบ เน้นการครองบอล สอนให้เด็กๆเล่นบอลแบบคิดเป็น ไม่ใช่เตะบอลเป็นเพียงอย่างเดียว จากนั้นโค้ชก็ยืมแนวคิดจากฮอลแลนด์และสเปนมาผสมผสานกลายเป็นเยอรมันสไตล์ ผลลัพธ์ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่เห็นชัดในทันที เพราะหลังจากยูโรปี 2000 เยอรมันยังตกรอบแบ่งกลุ่มยูโร 2004 อยู่เหมือนเดิม
ศึกฟุตบอลโลก ในปี 2014

บอลโลกปี 2014 เป็นเวทีที่เยอรมัน แสดงให้โลกเห็นว่าการปฏิรูปของพวกเขาประสบความสำเร็จมากขนาดไหน ทีมของโยอาคิม เลิฟเล่น ฟุตบอล ได้อย่างไหลลื่น สร้างเกมจากแดนหลัง มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ รอบรองชนะเลิศในปีนั้น เยอรมันเจอกับบราซิล และพวกเขาก็สามารถถล่มบราซิลเจ้าภาพคาบ้านไป 7-1 นัดนั้น พวกเขายิงได้ 5 ลูก ภายใน 29 นาทีแรกของเกม เปลี่ยนบราซิลที่มีความหวังกลายเป็นทีมที่พังที่สุดในประวัติศาสตร์
คำพูดที่ถูกแชร์มากที่สุดหลังจบเกมก็คือ “บราซิลมีเนย์มาร์ อาร์เจนติน่ามีเมสซี แต่เยอรมันมีทีมทั้งทีม” ฟุตบอลโลกปี 2014 เยอรมันเจอกับอาร์เจนติน่า เกมเสมอกัน 0-0 จนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อถึงนาทีที่ 113 อังเดร ชูร์เล่เปิดบอลเข้ากลางให้มาริโอ เกิทเซ พักอกและวอลเล่ย์เข้าไปเป็นประตูชัย หลังสิ้นเสียงนกหวีดเยอรมันก็คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 4 ทันที เป็นการตอกย้ำว่าการวางแผนระยะยาวของพวกเขาได้สำเร็จแล้ว
ความพ่ายแพ้ในศึกยูโรปี 2000 ไม่ใช่จุดจบ แต่มันเป็นโอกาสที่ให้เยอรมันสร้างสูตรใหม่ของฟุตบอลตัวเอง และเมื่อถึงปี 2014 พวกเขาได้กลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบที่สุดทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์
ลิเวอร์พูล


จากค่ำคืนแห่งฝันร้าย สู่ค่ำคืนแห่งชัยชนะ 26 พฤษภาคม 2018 ลิเวอร์พูลมีโอกาสคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไม่ใช่ค่ำแค่แห่งความสุข แต่มันคือฝันร้ายที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลต้องร้องไห้
นัดชิงที่โอลิมปิกสเตเดียมวันนั้นลิเวอร์พูลพบกับเรอัลมาดริด ทีมที่มีประสบการณ์และเต็มไปด้วยแชมป์ยุโรปเต็มตู้ ซาลาห์ นักเตะที่เป็นหัวใจสำคัญของแฟนบอลลิเวอร์พูล ถูกเซอร์จิโอ รามอสดึงล้มลง แรงปะทะทำให้ซาลาห์บาดเจ็บที่หัวไหล่จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออก ซาลาห์ได้เดินร้องไห้ออกจากสนามเพราะเขาคงรู้อยู่แล้วว่าค่ำคืนนี้พังลงเรียบร้อย
หลังจากที่ซาลาห์ถูกเปลี่ยนตัว เกมของลิเวอร์พูลก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที พวกเขาขาดความเฉียบคมในแดนหน้าและเรอัลมาดริดก็เริ่มคุมเกมได้ พอเริ่มครึ่งหลังมาไม่ถึง 10 นาที ลอริส คาริอุส นายทวารลิเวอร์พูลก็กลายเป็นตัวเอกของฝันร้ายนี้ นาทีที่ 51 เขาพยายามขว้างบอลไปให้เพื่อน แต่ดันขว้างเข้าไปหาเบนเซมาที่ยื่นเท้าแตะบอลเข้าประตูไปแบบทำคนงงทั้งสนาม
ในนาทีที่ 83 เขาได้พลาดอีกรอบ เป็นการยิงไกลของแกเร็ธ เบล ที่ดูไม่มีอะไร แต่ลอริส คาริอุสรับพลาด ทำให้บอลปลิ้นเข้าประตูไป สุดท้ายคืนนั้น ลิเวอร์พูลแพ้ไป 3-1 ในนัดชิงที่พวกเขาต่อสู้สุดชีวิต แต่ก็จบลงด้วยคราบน้ำตา
ปาฏิหาริย์แห่งแอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลพลิกนรกสู่แชมป์ยุโรป


คล็อปป์ไม่เสียเวลาคร่ำครวญ เขารู้ว่าถ้าจะกลับมาคว้าแชมป์ ลิเวอร์พูลต้องยกระดับทีมขึ้นไปอีก หลังจากขายคูตินโญ่ในปีนั้น คล็อปป์ก็ยอมจ่าย 75 ล้านยูโร ดึงเวอร์จิล ฟาน ไดจค์ มาจากเซาแธมป์ตัน เพื่อมายืนเป็นเซนเตอร์ฮาฟตัวหลัก แม้ว่าหลายคนจะคิดว่าแพง แต่ฟานไดจค์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือปราการเหล็กที่ลิเวอร์พูลรอมานาน
หลังจากที่ฟานไดจค์เข้ามา ลิเวอร์พูลก็ยอมทุ่มเงินอีก 67 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวอลิสซอน เบ็คเกอร์ ซึ่งเป็นนายทวารที่มีปฏิกิริยารวดเร็ว และเต็มไปด้วยความมั่นใจ ลิเวอร์พูลเรียนรู้ฝันร้ายจากคาริอุส และแก้ปัญหาทันที 2 สิ่งนี้ทำให้ลิเวอร์พูลเดินหน้าเข้าสู่รอบน็อคเอาท์แชมเปียนส์ลีกอีกรอบ จนมาถึงรอบรองชนะเลิศ
ลิเวอร์พูลเจอของแข็งอย่างทีมบาร์เซโลน่าในยุคเมสซี ช่วงแรกลิเวอร์พูลโดนไปก่อน 3 ลูก และดูเหมือนว่าโอกาสเข้าชิงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ ฟุตบอล เป็นกีฬาที่คาดเดาไม่ได้และที่แอนฟิลด์ก็เต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ และใครจะไปคาดคิดว่าลิเวอร์พูลจะตบบาร์ซ่าไปได้ถึง 4-0
นัดชิงชนะเลิศที่ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ ลิเวอร์พูลเจอกับท็อตแนมฮอตสเปอร์ส คู่แข่งร่วมลีก ซึ่งเกมนี้แตกต่างจากปีที่แล้ว เพราะว่าวันนั้นลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 และคล็อปป์ก็คว้าแชมป์ยุโรปใบแรกของเขากับทีมได้
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าบทเรียนความพ่ายแพ้ที่เคียฟไม่ใช่จุดจบ แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองของลิเวอร์พูล โดยเจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้ความเจ็บปวดมาเป็นเชื้อเพลิงในการสร้างทีมใหม่และผลลัพธ์คือแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกปี 2019 แชมป์พรีเมียร์ลีก 2020 ครั้งแรกในรอบ 30 ปี แชมป์ FA CUP, คาราบาวคัพ, คลับเวิลด์คัพ คว้าได้ทั้งหมดดังวลีที่ว่าคุณต้องล้มลงก่อน ถึงจะรู้ว่าการยืนขึ้นมันมีค่าแค่ไหน
วินาทีแห่งชัยชนะ รับชมฟุตบอลสดฟรีทุกคู่ แทงบอลออนไลน์ลุ้นรางวัลใหญ่ และสัมผัสคาสิโนถูกกฎหมายที่จ่ายจริงไม่มีกั๊ก รับโบนัสต้อนรับ 1,500 บาท เพียงกรอกรหัส DW338 เมื่อสมัครสมาชิกวันนี้